top of page

อินฟลูเอนเซอร์ใหญ่หรือเล็ก ดีกว่ากัน?

  • Writer: Impowered Strategy
    Impowered Strategy
  • May 10
  • 3 min read

คำถามโลกแตกสำหรับนักการตลาด: ควรเลือกใช้ อินฟลูเอนเซอร์ “ตัวใหญ่” (ผู้ติดตามเยอะ หลักแสนถึงล้านขึ้นไป) หรือ “ตัวเล็ก” (ไมโคร/นาโน อินฟลูเอนเซอร์ที่ผู้ติดตามหลักพันถึงหมื่น) ถึงจะเวิร์คกว่ากัน? บทความนี้จะเปรียบเทียบ 4 มุมมองสำคัญ – งบประมาณ, ผลกระทบด้านยอดขาย, ความน่าเชื่อถือ, และความยากง่ายในการจัดการ – เพื่อช่วยทีมมาร์เก็ตติ้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (โดยเฉพาะไทย) ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น


Key Takeaways


  • งบประมาณ: อินฟลูฯ รายเล็ก ค่าตัวถูกกว่า รายใหญ่ มาก – จ้างไมโครฯ ทีเป็นโหลยังถูกกว่าดาราคนเดียว ทำให้ผลตอบแทนต่อเงิน (ROI) สูงกว่าเห็นๆ influencer-hero.cominfluencer-hero.com แม้คนดังจะเข้าถึงคนวงกว้างในโพสต์เดียว แต่ก็ใช้งบก้อนใหญ่และไม่การันตียอดขายเสมอไป

  • ยอดขายหรือการมองเห็น: อินฟลูฯ เล็ก มักเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะได้ตรงใจ ผู้ติดตามอินมากกว่า ส่งผลให้อัตรา conversion (เปลี่ยนผู้ชมเป็นผู้ซื้อ) ต่อหัวสูงกว่า ขณะที่อินฟลูฯ ใหญ่ ให้ ยอด reach หรือการมองเห็นมหาศาล เหมาะกับสินค้าที่ต้องการกระจายวงกว้างและสร้างการรับรู้หรือยอดขายแบบถล่มทลายในทีเดียว (ถ้างบถึง) sloanreview.mit.eduinfluencer-hero.com

  • ความน่าเชื่อถือ & Engagement: โดยทั่วไปผู้บริโภคเชื่อคำแนะนำจาก “คนธรรมดา” มากกว่าจากโฆษณาหรือคนดัง – 46% ของผู้บริโภคใน SEA บอกว่าไว้ใจรีวิวจากนาโนอินฟลูฯ เทียบกับแค่ 20% ที่ยังเชื่อคนดังเซเลบ supermombusiness.com ไม่แปลกที่ไมโคร/นาโนมี engagement rate สูงกว่ามาโครหลายเท่า (นาโน ~3–5%, มาโคร ~1–2% โดยเฉลี่ย supermombusiness.com)

  • การจัดการ: การดีลกับอินฟลูฯ เล็กจำนวนมาก พร้อมกันอาจทำให้แบรนด์ปวดหัว – ต้องคุยและตามงานหลายสิบราย ต่างจากจ้าง คนดังไม่กี่คน ที่จัดการง่ายกว่าเพราะคุยน้อยรายกว่า (แม้อาจจะต้องผ่านผู้จัดการส่วนตัวบ้าง) อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมีเครื่องมือแพลตฟอร์มที่ช่วยบริหารแคมเปญไมโคร/นาโนจำนวนมากให้เป็นเรื่องง่ายขึ้น ลดภาระงานจัดการลงได้มาก


นายก็เป็นได้นะ อินฟลูเอนเซอร์หนะ
นายก็เป็นได้นะ อินฟลูเอนเซอร์หนะ

 ปัจจุบันใครๆ ก็เป็น “อินฟลูเอนเซอร์” ได้ – ในปี 2024 ประเทศไทยมีคนผันตัวมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์อาชีพกว่า 2 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 3 ล้านคนในปี 2025nationthailand.com แบรนด์จึงมีตัวเลือกตั้งแต่ดาราดังไปจนถึงผู้ใช้โซเชียลธรรมดาที่มีผู้ติดตามหลักพันให้เลือกใช้ในการทำการตลาด


งบประมาณ: ค่าตัว vs ความคุ้มค่า

หนึ่งในปัจจัยแรกที่แบรนด์ต้องพิจารณาคือ งบประมาณ และ ค่าตัวอินฟลูเอนเซอร์ แต่ละระดับ ในไทยเอง เรทราคาค่าจ้าง นั้นต่างกันมากระหว่างอินฟลูฯ ตัวเล็กกับตัวใหญ่ ข้อมูลจาก Tellscore ระบุว่าค่าจ้าง ต่อโพสต์ ของอินฟลูฯ ระดับ Macro (ผู้ติดตาม ~5 แสนถึง 1 ล้านคน) อยู่ที่ประมาณ 30,000–100,000 บาทต่อโพสต์ ส่วน ไมโครอินฟลูเอนเซอร์ (ผู้ติดตามหลักหมื่น) ค่าตัวเฉลี่ยเพียง 5,000–10,000 บาทต่อโพสต์ เท่านั้น nationthailand.com.


ด้วยงบหนึ่งแสนบาท คุณอาจจ้าง เน็ตไอดอล ระดับท็อปได้แค่คนเดียวหรือหนึ่งโพสต์ – แต่ถ้าเลือกไมโครอินฟลูฯ คุณจ้างได้เป็นสิบคน!


ด้วยเหตุนี้เอง แคมเปญที่ใช้กองทัพอินฟลูฯ รายเล็กหลายคนจึงมัก คุ้มค่าเงิน และให้ ROI สูงกว่า การทุ่มงบจ้างเซเลบคนเดียวอย่างมาก งานวิจัยของ MIT Sloan พบว่านาโนอินฟลูเอนเซอร์สามารถให้ผลตอบแทนการลงทุนสูงกว่ามาโครอินฟลูฯ ถึง 3 เท่า เลยทีเดียว twitter.com สาเหตุก็เพราะไมโคร/นาโนมี


ค่าใช้จ่ายต่อคนต่ำ กว่า แต่เข้าถึงผู้ชมที่สนใจจริงๆ ได้มีประสิทธิภาพกว่า (อธิบายเพิ่มเติมในส่วนความน่าเชื่อถือด้านล่าง) ดังนั้น งบเท่าเดิม อาจสร้างยอด engage และยอดขายได้มากกว่าเมื่อกระจายไปลงกับอินฟลูฯ เล็กหลายๆ คนinfluencer-hero.cominfluencer-hero.com


ในทางกลับกัน อินฟลูฯ รายใหญ่ย่อมคิดค่าตัวแพงเพราะเข้าถึงคนดูวงกว้าง แต่เม็ดเงินก้อนโตนั้นก็ มีความเสี่ยง – หากโพสต์นั้นไม่ปังหรือผู้ติดตามไม่ได้อินกับสินค้านั้นจริง เงินที่ลงไปก็อาจสูญเปล่าได้ง่ายๆ influencer-hero.com 


ยิ่งเหล่าเจ้าแม่ แมโครอินฟลูฯ หรือดาราที่รับงานโฆษณารัวๆ หลายเจ้าพร้อมกัน ภาพลักษณ์ที่ดูเป็น “การตลาดจ๋า” อาจทำให้คนเลื่อนผ่านโพสต์โดยไม่สนใจ เท่ากับแบรนด์เสียเงินซื้อแค่ยอด Reach แต่ไม่ได้ยอด engage หรือยอดขายกลับมาเท่าที่ควร.


สรุปคือ ถ้างบจำกัด ไมโครอินฟลูฯ หลายคนมักจะให้ ความคุ้มค่าต่อบาท ดีกว่า แต่ถ้าแบรนด์มีงบมากและอยากสร้างการรับรู้กว้างๆ เร็วๆ การจ้างคนดังระดับบิ๊กก็ยังเป็นกลยุทธ์ที่ทำได้ เพียงแต่อย่าลืมเผื่อความเสี่ยงไว้ในใจด้วย


ผลกระทบต่อยอดขาย: Conversion vs Reach


ไม่พูดเรื่องยอดก็เห็นจะไม่ได้ในยุคสมัยนี้ เศรษฐกิจแบบนี้

เป้าหมายปลายทางของการตลาดคือ ยอดขาย – แล้วระหว่างอินฟลูฯ ใหญ่กับเล็ก ใครมีพลังปิดการขายได้มากกว่ากัน? งานวิจัยและสถิติตลาดช่วงปี 2024 บ่งชี้ว่า ทั้งสองกลุ่มมีบทบาท แต่ต่างลักษณะกันไป


ในฝั่งไมโคร/นาโนอินฟลูเอนเซอร์ ด้วยความที่กลุ่มผู้ติดตามมักเล็กและเฉพาะเจาะจง ผู้ติดตามมักมี ความสนใจและความเชื่อใจ ในตัวอินฟลูฯสูง จึงมีแนวโน้มจะซื้อสินค้าตามคำแนะนำมากกว่า เมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ติดตามขนาดมหาศาลของดาราดัง (ที่มีทั้งแฟนตัวจริงและคนตามเพราะความบันเทิงแต่ไม่ได้สนใจทุกอย่างที่โปรโมท)


มีการศึกษาพบว่า นาโนอินฟลูฯมีอัตราการเปลี่ยนผู้ชมเป็นผู้ซื้อ (conversion rate) สูงกว่าอินฟลูฯชื่อดังอย่างมีนัยสำคัญ sloanreview.mit.edu นอกจากนี้ผลสำรวจของ Nielsen พบว่า 80% ของผู้บริโภคในเอเชียที่ติดตามอินฟลูเอนเซอร์เคยซื้อสินค้าตามคำแนะนำของพวกเขา และในฟิลิปปินส์สูงถึง 70% เลยทีเดียวที่ซื้อสินค้าผ่านการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ supermombusiness.com 


ตัวเลขเหล่านี้ตอกย้ำว่า “อินฟลูเอนเซอร์ตัวเล็กก็ขายของเก่งไม่แพ้ใคร”  หากเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช่

ขณะเดียวกัน


อินฟลูฯรายใหญ่หรือคนดังย่อมได้เปรียบเรื่อง ยอด Reach (การเข้าถึงคนจำนวนมาก) ในโพสต์แต่ละครั้ง อย่างแคมเปญใหญ่ๆ ที่ต้องการยอดขายแบบถล่มทลายในช่วงสั้นๆ (เช่น เปิดตัวสินค้าทั่วประเทศ) การให้ดาราหรือเซเลบที่มีผู้ติดตามหลักล้านช่วยโปรโมท ก็สามารถกระตุ้นยอดขายก้อนใหญ่ได้รวดเร็ว จากการเข้าถึงฐานผู้บริโภควงกว้างภายในโพสต์เดียว influencer-hero.com 


ข้อดี คือแบรนด์อาจเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้จักแบรนด์มาก่อนเลยผ่านคนดังเหล่านี้ แต่อย่าลืมว่ากลุ่มผู้ชมกว้างๆ นั้น อาจไม่ใช่ลูกค้าเป้าหมายทั้งหมดของแบรนด์ – ส่วนหนึ่งอาจไม่ได้สนใจหรือมีกำลังซื้อ ซึ่งนำไปสู่อัตรา conversion ที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับไมโครอินฟลูฯ


ดังนั้นมาโครอินฟลูฯมักเหมาะกับการสร้าง การรับรู้ (awareness) และ กระแส (buzz) ในวงกว้าง ส่วนไมโคร/นาโนเหมาะกับการ เจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม และ ปิดการขาย ในกลุ่มแฟนคลับเหนียวแน่น


Affiliate Marketing


น่าสนใจว่าปัจจุบันในไทย อินฟลูเอนเซอร์สายขายของ (affiliate marketers และพ่อค้าแม่ค้าโซเชียล) จำนวนมากก็เกิดจากกลุ่มไมโคร/นาโนที่ใช้ความน่าเชื่อถือส่วนตัวในการเชียร์สินค้า จนสร้างยอดขายได้เป็นกอบเป็นกำ – เทรนด์นี้เติบโตสูงที่สุดในกลุ่มอินฟลูฯทุกระดับ nationthailand.com 


อย่าเลือกทางใดทางหนึ่ง ใช้ปนกันดีที่สุด


เมื่อรวมข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว แบรนด์อาจพิจารณาใช้ กลยุทธ์ผสม เพื่อเก็บเกี่ยวข้อดีทั้งสองฝั่ง: ใช้อินฟลูฯใหญ่สร้างการรับรู้และเข้าถึงลูกค้าใหม่จำนวนมาก ควบคู่กับใช้ไมโครอินฟลูฯหลายคนช่วยกระตุ้นยอดขายเชิงลึกในแต่ละกลุ่มย่อยไปพร้อมกัน


ความน่าเชื่อถือและ Engagement: เพื่อนข้างบ้าน vs ซูเปอร์สตาร์


ในยุคที่ผู้บริโภคโดนโฆษณารุมจากทุกทิศทาง “ความน่าเชื่อถือ” กลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่ตัดสินว่าแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์จะเวิร์คหรือไม่เวิร์ค ลองนึกภาพตาม: รีวิวจากเพื่อนบ้านที่ใช้สินค้านั้นจริงๆ กับ รีวิวจากคนดังที่ลงโปรโมทสินค้ารัวๆ ทุกวัน – คนส่วนใหญ่ย่อมเอนเอียงไปทางแบบแรกมากกว่า


สถิติยืนยันปรากฏการณ์นี้อย่างชัดเจน: ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพียง 33% เท่านั้นที่บอกว่าเชื่อถือโฆษณาบนมือถือทั่วไป แต่กลับมีถึง 92% ที่เชื่อคำแนะนำจากคนจริงๆ รอบตัว supermombusiness.com (ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ญาติ หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่พวกเขาติดตามอยู่)


นอกจากนี้ผลสำรวจผู้บริโภคในภูมิภาค SEA พบว่า 46% ให้เหตุผลว่าความ “จริงใจและเป็นธรรมชาติ” คือปัจจัยหลักที่ทำให้พวกเขากดติดตามอินฟลูเอนเซอร์รายนั้น ในขณะที่มีเพียง 20% เท่านั้นที่บอกว่าพวกเขายังเชื่อในการโปรโมทแบบพรีเซนเตอร์คนดัง supermombusiness.com 


ตัวเลขนี้สะท้อนว่าคนทั่วไปเริ่มมองการจ้างดาราเซเลบมาขายของว่าเป็นโฆษณาแบบดั้งเดิมที่ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ต่างจากคอนเทนต์จากไมโครอินฟลูฯที่พวกเขารู้สึกว่า “คนนี้เหมือนเพื่อนเรา แนะนำเพราะใช้เองจริงๆ”


อินฟลูฯรายเล็กมักสร้าง ความสัมพันธ์แบบใกล้ชิด กับผู้ติดตาม มีการโต้ตอบพูดคุยเสมือนเพื่อนฝูง ทำให้ผู้ชมรู้สึกเชื่อใจและ อิน กับสิ่งที่นำเสนอมากกว่า

ในขณะที่อินฟลูฯรายใหญ่ระดับเซเลบมักมี ภาพลักษณ์เป็นดารา ที่อาจรักษาระยะห่างจากแฟนๆ หรือมีทีมงานช่วยจัดการคอนเทนต์ให้ดูมืออาชีพ จนความเป็นกันเองลดลง


นอกจากนี้อินฟลูฯที่รับโฆษณาหลายเจ้าติดๆ กันย่อมถูกมองว่า “ขายของเก่ง” เกินไป ผู้ติดตามบางส่วนอาจเกิดความสงสัยและลดความเชื่อถือลงเมื่อเห็น Sponsored Post ถี่ๆinfluencer-hero.com (เช่น คอมเมนต์ประมาณว่า “รอบนี้ขายอะไรอีกล่ะ?”) ความแตกต่างเหล่านี้ส่งผลชัดเจนต่อ ยอด Engagement (การมีส่วนร่วมของผู้ติดตาม เช่น ไลก์ คอมเมนต์ แชร์) ของโพสต์ระหว่างอินฟลูฯใหญ่กับเล็ก


โดยเฉลี่ยแล้ว นาโนอินฟลูเอนเซอร์ (ผู้ติดตาม ~5,000–20,000 คน) จะมี อัตราการมีส่วนร่วม ประมาณ 3.7% ต่อโพสต์ ขณะที่ ไมโครอินฟลูฯ (หลักหมื่นคนติดตาม) จะมีราว 2.2% ซึ่งทั้งคู่สูงกว่า มาโครอินฟลูฯ (หลักแสนถึงล้านคนขึ้นไป) ที่มี engagement โดยเฉลี่ยเพียงประมาณ 1.6% เท่านั้น supermombusiness.com กล่าวอีกอย่างคือ ทุกๆ 100 คนที่เห็นโพสต์ของนาโน/ไมโคร จะมี ~3–4 คนที่กดไลก์หรือคอมเมนต์ แต่ถ้าเป็นโพสต์คนดังระดับล้านฟอลฯ จะมีไม่ถึง 2 คนที่ engage กับโพสต์นั้น จุดนี้สำคัญมากเพราะ การมีส่วนร่วม คือสัญญาณความสนใจของผู้บริโภค ถ้าไม่มี engagement โอกาสที่จะโน้มน้าวให้ซื้อสินค้าก็แทบเป็นศูนย์

ดังนั้นในมุมความน่าเชื่อถือและ engagement อินฟลูเอนเซอร์ตัวเล็กดูจะชนะขาด เพราะความสัมพันธ์แบบเพื่อนและความเฉพาะกลุ่มทำให้ผู้ติดตามรู้สึกเชื่อใจและพร้อมโต้ตอบมากกว่า งานขายของจึงดูแนบเนียนเป็นธรรมชาติ (native advertising) ยิ่งกว่า แบรนด์ที่ต้องการสร้าง community ระยะยาวหรืออยากได้ feedback จากลูกค้าโดยตรงก็มักได้ผลดีจากการใช้ไมโคร/นาโน ในทางกลับกัน การใช้อินฟลูฯใหญ่ก็ยังมีข้อได้เปรียบตรงที่บางครั้ง ภาพลักษณ์ความเป็นเซเลบ สามารถช่วยยกระดับแบรนด์ให้ดูน่าเชื่อถือในเชิงสังคมได้ (social proof ว่า “ดาราคนนี้ยังใช้แบรนด์เรา”) เพียงแต่ต้องแลกกับการที่คนเสพย์สื่อจะรู้สึกถึงความเป็นโฆษณาชัดเจนกว่าและ engage น้อยกว่านั่นเอง

 ไมโคร-อินฟลูเอนเซอร์มักสื่อสารกับผู้ติดตามอย่างเป็นกันเองเหมือนเพื่อน ทำให้คอนเทนต์ดูจริงใจและน่าเชื่อถือกว่าโฆษณาทั่วไป ส่งผลให้คนติดตามพร้อมมีส่วนร่วม (กดไลก์ คอมเมนต์) มากกว่า ซึ่งเป็นเหตุผลที่ engagement rate ของไมโคร/นาโนสูงกว่ามาโครอยู่เสมอ supermombusiness.com ในขณะที่อินฟลูฯรายใหญ่แม้จะมีคนตามเยอะ แต่แฟนๆ แต่ละคนอาจไม่ได้อินหรือไว้วางใจเท่ากับอินฟลูฯตัวเล็กที่เค้ามีปฏิสัมพันธ์ด้วยบ่อยๆ

ความยาก-ง่ายในการจัดการ (Operational Difficulty) ปัญหาหลักของการใช้อินฟลูฯรายเล็ก

ปิดท้ายกันที่เรื่อง การบริหารจัดการแคมเปญ ซึ่งหลายคนมองข้ามไม่ได้ การทำงานกับอินฟลูเอนเซอร์มีความละเอียดอ่อนและกินแรงไม่แพ้ส่วนอื่น – ต้องเลือกคนที่ใช่, ตกลงรายละเอียดสัญญา, บรีฟงาน, ส่งสินค้าให้ลอง, คอยติดตามกำหนดโพสต์, และเก็บข้อมูลผลลัพธ์ สารพัดขั้นตอนเหล่านี้ ถ้าเป็นการดีลกับอินฟลูฯ เพียงไม่กี่คน (เช่น ดาราดัง 1–2 คน) ทีมการตลาดก็พอจัดการได้ไม่ยาก เพราะจำนวนคนที่ต้องคุยด้วยน้อยและแต่ละเจ้าก็มืออาชีพมีระบบของตัวเองอยู่แล้ว แต่ถ้าสมมติแบรนด์อยากใช้ ไมโครอินฟลูเอนเซอร์ 50 คน พร้อมกันล่ะ? แค่คิดก็ชวนปวดหัวแล้ว

ความจริงคือ การใช้กองทัพไมโคร/นาโน ต้องการทรัพยากรมากกว่าในแง่การจัดการ คุณอาจต้องมีทีมงานคอยประสานงาน 1 คนต่ออินฟลูฯทุกๆ 5–10 คน เพื่อให้แน่ใจว่าดีลไม่ตกหล่นและทุกคนโพสต์งานตามที่กำหนด เพราะการจะให้ได้ ยอดเข้าถึง เทียบเท่าอินฟลูฯใหญ่หนึ่งคน คุณอาจต้องใช้อินฟลูฯเล็กหลายสิบราย ซึ่งแปลว่าต้องคุยเจรจา หลายสิบครั้ง เลยทีเดียว influencer-hero.com  ขั้นตอนตั้งแต่การเชิญชวน, ต่อรองค่าตอบแทน, ทำสัญญา, ส่งสินค้า, ไปจนถึงการติดตามผลต้องคูณด้วยจำนวนอินฟลูฯที่ใช้ ถ้าแบรนด์ไม่มีเครื่องมือและแผนที่ดี งานจะยุ่งมากและมีโอกาสผิดพลาดสูง (เช่น ลืมตามบางคน, บางคนโพสต์ช้ากว่ากำหนด, ส่งของไม่ทั่วถึงทุกคน ฯลฯ)

ในทางกลับกัน การใช้อินฟลูฯ ตัวใหญ่ไม่กี่คน ย่อมง่ายกว่ามากในแง่นี้ เพราะคุณโฟกัสกับคนดังแค่คนเดียวหรือทีมเล็กๆ เท่านั้น แม้บางครั้งอินฟลูฯระดับท็อปจะมี เอเจนซี่หรือตัวแทน มาคอยเป็นคนกลาง (ทำให้ต้องมีขั้นตอนเจรจาผ่านคนกลางเพิ่มขึ้นเล็กน้อย) แต่พอดีลตกลงแล้ว พวกมาโครอินฟลูฯมักจะ ทำงานเป็นมืออาชีพ ตรงเวลา มีทีมช่วยถ่ายทำคอนเทนต์ให้ออกมาดูดี แบรนด์ไม่ต้องเสียเวลามากกับการกำกับจุกจิก influencer-hero.com  อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าผู้จัดการหรือเอเจนซี่ของอินฟลูฯใหญ่บางรายก็ทำให้ การต่อรองยืดหยุ่นน้อยลง เช่น ไม่รับงานสินค้าที่ยินยอมจ่ายเป็นของหรือคอมมิชชั่นแทนเงินสด เพราะคนกลางไม่ได้ประโยชน์ influencer-hero.com ต่างจากไมโครอินฟลูฯหลายคนที่ยินดีรับผลิตภัณฑ์ไปลองหรือร่วมโปรแกรมแชร์ยอดขาย ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายแบรนด์ได้ (แต่ฝั่งมาโครจะ “ของานจ้างเท่านั้น”)

โดยสรุป: หากแบรนด์เลือกกลยุทธ์ไมโคร/นาโน ก็ต้องพร้อมลงทุนลงแรงกับ งานจัดการที่มากกว่า การใช้มาโคร ไม่ว่าจะจัดสรรคนในทีมมาดูแลเพิ่มเติมหรือจ้างเอเจนซี่มาช่วยก็ตาม แต่ข้อดีคือแบรนด์จะได้ ความคุ้มค่าและผลลัพธ์เชิงคุณภาพ ที่สูงกว่าเป็นการตอบแทน ส่วนใครที่เลือกใช้อินฟลูฯใหญ่เพราะต้องการความคล่องตัวในการบริหาร แนะนำให้วางระบบการติดตามงานและตกลง KPI ให้ชัดเจนไปเลยตั้งแต่ต้น เพื่อให้การทำงานกับอินฟลูฯคนดังที่มีเวลาจำกัดเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่เสียโอกาสจากความล่าช้าหรือสื่อสารไม่ตรงกัน

เครื่องมือช่วยลดความวุ่นวาย (ทางออกสำหรับไมโครจำนวนมาก)

ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกว่า “การใช้อินฟลูฯเล็กเยอะๆ ดูจะยุ่งยากจริงๆ” – ไม่ต้องห่วงครับ ทุกวันนี้มีตัวช่วยเป็น แพลตฟอร์มบริหารอินฟลูเอนเซอร์ ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ pain point นี้โดยเฉพาะ แพลตฟอร์มเหล่านี้ช่วยให้แบรนด์สามารถค้นหา คัดเลือก และจัดการอินฟลูเอนเซอร์จำนวนมากได้แบบเบ็ดเสร็จในที่เดียว ตัวอย่างเช่น Gradient ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยแบรนด์ “ปล่อยกองทัพอินฟลูเอนเซอร์” ได้ทีละมากๆ ตามสโลแกนที่ว่า Activate 1,000+ Influencers at Once! gradientdigitalgroup.com   กล่าวคือแบรนด์สามารถทำแคมเปญกับอินฟลูฯเป็นหลักพันคนไปพร้อมๆ กันผ่านระบบของ Gradient ได้เลย

แพลตฟอร์มนี้มักมาพร้อม ระบบอัตโนมัติและข้อมูลเชิงลึก (automated, data-driven) ที่ช่วยลดงานมือในการประสานงานซ้ำๆ อย่างการส่งข้อความเชิญ, แจกจ่ายบรีฟและแอสเซ็ทให้ทุกคน, ติดตามความคืบหน้าการโพสต์, และรวบรวม report หลังแคมเปญ นอกจากนี้ยังมีแดชบอร์ดให้แบรนด์ติดตามผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ เทียบประสิทธิภาพของอินฟลูฯแต่ละรายได้ง่าย สิ่งเหล่านี้ช่วยให้การใช้ไมโคร/นาโนอินฟลูฯจำนวนมาก มีความคล่องตัว ใกล้เคียงกับการจ้างเอเจนซี่ดูแลมาโครอินฟลูฯไม่กี่คนเลยทีเดียว

ที่สำคัญ แพลตฟอร์มอย่าง Gradient ยังเน้นจุดเด่นเรื่องการ “ถล่มตลาด” ด้วยกองทัพอินฟลูเอนเซอร์ที่พร้อมใจกันสร้างกระแสให้แบรนด์ในเวลาอันสั้น กล่าวคือแทนที่จะมีโพสต์จากอินฟลูฯแค่ 1-2 คน แบรนด์จะมี เครือข่ายอินฟลูเอนเซอร์ จำนวนมากพูดถึงสินค้าในหลากหลายชุมชนออนไลน์พร้อมๆ กัน ช่วยเพิ่มทั้งยอดเข้าถึง, engagement และสุดท้ายคือยอดขายอย่างรวดเร็ว gradientdigitalgroup.com  แนวทางนี้เหมาะมากกับการบุกตลาดใหม่หรือโปรโมทแคมเปญสำคัญที่ต้องการทั้งความแพร่หลายและความน่าเชื่อถือควบคู่กัน

บทส่งท้าย: ไม่มีคำตอบตายตัวว่า “อินฟลูเอนเซอร์ใหญ่หรือเล็กแบบไหนดีกว่ากัน” ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ เป้าหมายและทรัพยากร ของแบรนด์ หากคุณต้องการ เข้าถึงคนวงกว้างเร็วๆ และมีงบมากพอ อินฟลูฯใหญ่ย่อมตอบโจทย์กว่า แต่ถ้าคุณอยากได้ ความคุ้มค่าและคุณภาพการมีส่วนร่วมสูงๆ ไมโคร/นาโนอินฟลูฯก็เป็นพระเอกของคุณ และในหลายกรณี การผสมผสานทั้งสองรูปแบบ อย่างชาญฉลาดก็ให้ผลดีที่สุด อย่างไรก็ดี สำหรับทีมการตลาดที่อยากลองใช้กลยุทธ์ไมโครอินฟลูเอนเซอร์จำนวนมาก แต่กังวลเรื่องภาระการจัดการ ลองพิจารณาเครื่องมืออย่าง Gradient Digital Group หรือแพลตฟอร์มคล้ายๆ กันดูได้ – คุณอาจพบว่าการทำงานกับ “อินฟลูเอนเซอร์เล็กพริกขี้หนู” เป็นไปได้แบบสบายๆ ไม่วุ่นวายอย่างที่คิด

แหล่งข้อมูล

  1. Nation Thailand. “Thai influencers receive widely varying incomes” (14 Sep 2024) – รายงานข้อมูลค่าจ้างอินฟลูเอนเซอร์ไทยแต่ละระดับ จากผู้บริหาร Tellscorenationthailand.com

  2. Nation Thailand. “Influencer wave sweeps Thailand as millions seek digital spotlight” (Feb 2025) – ข่าวแนวโน้มตลาดอินฟลูเอนเซอร์ไทย ปี 2024-2025 (จำนวนอินฟลูฯ และการเติบโตของไมโคร/นาโน)nationthailand.comnationthailand.com

  3. Supermom Business. “Influencer Marketing in Southeast Asia: Impact & Strategy Guide” (24 Dec 2024) – บทความสรุปสถิติการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ในภูมิภาค SEA (อัตรา engagement, ความน่าเชื่อถือ ฯลฯ)supermombusiness.comsupermombusiness.com

  4. Influencer-Hero.com. “Micro vs Macro Influencers” (Blog) – บทวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของไมโครและมาโครอินฟลูเอนเซอร์ พร้อมข้อมูลจากการทำแคมเปญจริงกว่า 20,000 รายinfluencer-hero.cominfluencer-hero.com

  5. MIT Sloan Management Review. “The Surprising ROI of Small Online Influencers” by Beichert et al. (22 Aug 2024) – งานวิจัยพบว่า nano-influencers ให้ ROI สูงกว่า macro-influencers ถึง 3 เท่า และมีอัตรา conversion สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญtwitter.comsloanreview.mit.edu

  6. Gradient Digital Group – ข้อมูลจากเว็บไซต์ทางการของแพลตฟอร์ม (2025) เกี่ยวกับบริการบริหารแคมเปญไมโครอินฟลูเอนเซอร์และจุดขายของระบบ (เช่น activate 1,000+ influencers at once)gradientdigitalgroup.comgradientdigitalgroup.com

 
 
 

Comments


bottom of page